จากกรณีกระทรวงมหาดไทย สั่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตรวจสอบฐานข้อมูลผู้สูงอายุ หลังพบทั่วประเทศว่ามีผู้สูงอายุกว่า 1.5 หมื่นคน ขอรับสวัสดิการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุซ้ำซ้อนกับการขอรับสวัสดิการอื่นๆจากรัฐ โดยพบว่าเทศบาลตำบลสันทรายหลวง อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่พบมีผู้ขอรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุซ้ำซ้อนมากที่สุด จำนวน 288 รายนั้น
เมื่อวันที่ 29 ม.ค.2564 นายสุพจน์ ลิ้มวณิชย์กุล ปลัดเทศบาลตำบลสันทรายหลวง เปิดเผยกรณีดังกล่าวว่า ขณะนี้ทางเทศบาลกำลังดำเนินการทำหนังสือเพื่อขอเรียกคืนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจากผู้ขอรับซ้ำซ้อนตามที่ได้รับประสานจากกรมบัญชีกลางในการเรียกคืน ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลของกรมบัญชีกลางพบว่ามีจำนวน288รายที่ขอรับสิทธิ์ซ้ำซ้อน อย่างไรก็ตามในจำนวนนี้มี276ราย ที่ยังไม่มีการรับเงิน เนื่องจากเป็นผู้ที่ขึ้นทะเบียนไว้เมื่อปี2561เพื่อเริ่มรับเบี้ยในปีงบประมาณ2563 ซึ่งต่อมากรมบัญชีกลางตรวจสอบพบว่าไม่เข้าหลักเกณฑ์และได้ระงับการจ่ายเบี้ยไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มจ่ายในเดือน ม.ค.64 ทั้งนี้มีเพียง12ราย ที่ได้รับเบี้ยไปแล้ว เนื่องจากเป็นผู้ที่รับสิทธิ์ไปก่อนหน้าแล้วตั้งแต่ปี2555 และเป็นผู้ที่ขอรับเบี้ยที่เทศบาล ก่อนที่จะถูกระงับในเดือน ม.ค.63 เป็นต้นมา ซึ่งจะถูกเรียกคืนเบี้ยผู้สูงอายุเป็นเงินเฉลี่ยรายละประมาณ3-6หมื่นบาท โดยกำลังดำเนินการทำหนังสือแจ้งไป ส่วนการคืนเงินนั้นอาจจะมีการผ่อนผันและพิจารณาตามความสามารถในการจ่ายคืนของแต่ละรายด้วย สำหรับการขอรับสิทธิ์ซ้ำซ้อนที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะให้ผู้ขอรับสิทธิ์เป็นผู้รับรองตัวเอง พร้อมกับมีหลักฐานเป็นสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านเท่านั้น ซึ่งทางเทศบาลไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ขอรับเบี้ยผู้สูงอายุนั้น เป็นข้าราชการบำนาญหรือว่ารัยสวัสดิการอย่างอื่นจากรัฐหรือไม่ และจากนั้นทางเทศบาลได้รวบรวมข้อมูลส่งให้กรมบัญชีกลางเพื่อจ่ายเบี้ยตรงให้แก่ผู้ขอรับสิทธิ์ ซึ่งต่อมากรมบัญชีกลางได้ตรวจสอบพบในภายหลังที่มีการปรับแก้ระเบียบการเบิกจ่ายเมื่อ พ.ย.62 จึงนำมาสู่การระงับสิทธิ์และให้เรียกคืนเงิน ซึ่งผู้สูงอายุที่ยังคงได้รับจ่ายเบี้ยตามปกติของเทศบาลตำบลสันทรายหลวงในปัจจุบันมีอยู่ทั้งสิ้น4,870ราย