วันนี้ (28 ม.ค. 64) นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้มอบหมายให้ นายสำเริง ไชยเสน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดเชียงใหม่ ประจำเดือนมกราคม 2564 โดยมี นายรัฐพล นราดิศร และ นายวีระพันธ์ ดีอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย นายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการ อัยการ ทหาร ตำรวจ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง ที่ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดเชียงใหม่
โดยที่ประชุมในวันนี้ มีประเด็นที่ต้องชี้แจงให้หน่วยงานต่างๆ ได้รับทราบ และพิจารณาร่วมกันในที่ประชุม ประกอบด้วย การสรุปการเบิกจ่ายงบประมาณในภาพรวมของจังหวัดฯ การพิจารณารายชื่อบุคคลผู้ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททางแพ่ง กรณีมีการเปลี่ยนแปลงรายชื่อ สถานการณ์และมาตรการในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาว และการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในจังหวัดเชียงใหม่
สำหรับประเด็นที่เป็นที่สนใจในวันนี้ ยังคงเป็นเรื่องสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเกี่ยวกับความคืบหน้าของการนำวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มาใช้ในประเทศไทย ซึ่งทางรัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดไว้ว่า คนไทยทุกคนจะต้องเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่มีคุณภาพ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก ๆ คือ ลดการล้มป่วยหรือเสียชีวิต ป้องกันไม่ให้ระบบสาธารณสุขล่ม โดยจะต้องมีบุคลากรทางการแพทย์สำหรับดูแลผู้ป่วยโรคอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่เพียงแต่โรคโควิด-19 เท่านั้น รวมทั้งเพื่อเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้คงอยู่ ทั้งนี้ วัคซีนดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในการรักษาเป็นระยะ ๆ เริ่มจากระยะที่ 1 ในเดือน กุมภาพันธ์ – เมษายน 2564 ระยะที่ 2 เดือนพฤษภาคม – ธันวาคม 2564 และ ระยะที่ 3 จะอยู่ในช่วงปี 2565 ซึ่งกลุ่มเป้าหมายแรกที่จะได้รับวัคซีนนั้นจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้สูงอายุ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรค โดยในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่นั้น จะได้รับวัคซีนป้องกันโรคในช่วงระยะที่ 2 คือ ช่วงเดือนพฤษภาคม – ธันวาคม 2564 ซึ่งจากการสำรวจในเบื้องต้นนั้น มีจำนวนประชาชนที่จะต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ประมาณ 3-4 แสนราย อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นนั้น จะมีบุคคล 2 กลุ่ม ที่ทางการแพทย์ยังไม่รับรองให้มีการฉีดวัคซีนดังกล่าว ประกอบด้วย ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี และสตรีมีครรภ์ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อร่างกาย ซึ่งยังคงต้องรอการพัฒนาวัคซีนที่เหมาะสมต่อไป